Digital MarketingTalk

วิปลาส เปิดความหลอน ละครเวทีของนักศึกษา ม.ขอนแก่น

ผลงานนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ละครเวทีเรื่อง “วิปลาส A Moonless Night”

ความหมายของ วิปลาส

คำว่า “วิปลาส” หรือ “วิปัลลาส” หมายถึง ความรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนหรือความเข้าใจผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ได้ให้ความหมายของวิปลาสไว้ว่า “คลาดเคลื่อนไปจากธรรมดาสามัญ”

คลิปการแสดงฉากที่หลอนมาก

https://www.youtube.com/watch?v=RjkyAuDKkGM
https://www.youtube.com/watch?v=A-00wr97LGU

เรื่อง วิปลาส สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงในข่าวที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน “ฆ่าลูก…บูชาพระอินทร์” เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ด้วยการฆ่าปาดคอลูกสาววัย 12 ขวบเพราะเชื่อว่าจะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย แล้วดวงวิญญาณของเด็กจะไปสวรรค์ ผู้เป็นแม่ ยาย และน้าสองคน) นับถือพระอินทร์อย่างมากคิดว่าตัวเองสามารถสื่อสารกับพระอินทร์ได้ และผู้เป็นแม่เด็กมีบาดแผลในอดีตคือการถูกคนร้ายข่มขืนขณะอายุได้ 17 ปี จนทำให้กำเนิดลูกคนนี้ จึงเชื่อว่าการส่งวิญญาณของลูกสาวให้พระอินทร์ดูแล ช่วยให้โลกสว่างไสวขึ้น

คลิปรายการข่าวดังข้ามเวลา วิปลาส?…เชือดอำมหิต

https://www.youtube.com/watch?v=iaUaHocvk8c

เรื่องเล่าหลอนในทวิตเตอร์

เรื่องมีอยู่ว่า ตามฉบับของพี่วิสกี้เลอฟองเบียร์ผู้ประพันธ์ละครชื่อดัง พี่วิสกี้จะแบ่งปีเป็นช่วงๆว่าปีนี้ทำละครแนวนี้แนวนั้น จนมาถึงช่วงเวลาที่ทำละครแนวหลอน ซึ่งในปีนั้นมีอยู่หลายเรื่องให้ตัดสินใจ จนมาถึงเรื่องวิปลาส บทเรื่องวิปลาส พี่วิสกี้ร่วมกับทีมดารากายาในการประพันธ์บท

รีแอคแรกที่ทุกคนแสดงออกมาหลังจากรู้ว่าทำเรื่องแนวหลอนหรอ คือสีหน้าเหมือนคนเจอผีอะ ถ้าใครที่เคยทำละครเวทีกับคณะมนุษย์ฯ มข. จะรู้ห้องละครเวทีคือห้อง 2213 ที่ทาสีดำสนิทในตอนหลังนั้นมีตำนานหลายเรื่องพอสมควร คนจะเรียกห้องนี้ว่าห้องเชียร์ดำ เพราะสีดำ หรือความหม่นก็ไม่มั่นใจนะ *O*

ยกตัวอย่างเรื่องหลอนๆ ให้ฟังละกัน มีคนดูท่านหนึ่งดูละครจบก็เดินมาบอกผมว่า “ทำไมไม่เอาเก้าอี้มาให้ลุงนั่ง คือบัตรเสริมยืนดูหรอครับ คือน้อง..ละครมันตั้งเกือบ 3 ชั่วโมง พี่ว่ามันก็แย่อยู่นะ.. “

ตอนนั้นไม่รู้จริงว่าอะไรยังไง ได้แต่ขอโทษในความผิดพลาด หลังจากนั้นเลยประชุมกับทีมเดินตั๋วว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ทีมเดินตั๋วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีบัตรยืนค่ะ ตรวจสอบละเอียดมากแล้ว ก็ได้แต่ทำหน้างงๆใส่กันแล้วพยักหน้า โอเค… เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ^^

อีกเรื่อง ทีมงานทำไฟต้องเดินสายไฟบนฝ้าเพดาน ทางทีมงานได้เปิดฝ้าออกแล้วล้วงมือเข้าไป ปรากฎว่ามีอีกมือนึงมาจับ ก็หลอนกันไป…

พอเราได้บทละครที่นิ่งพอสมควร ก็เข้าสู่ช่วงการทำการโปรโมต และการโปรโมตของละครคณะเราก็คือการทำเทรลเลอร์โดยใช้คนแสดงจริง ใช้สถานที่ที่คล้ายกับบรรยากาศในละครเวทีที่สุด ช่วงถ่ายทำเทรลเลอร์ ได้มีการจัดเตรียมลำดับเหตุการณ์ของเทรลเลอร์ไว้ล่วงหน้าแล้วระยะเวลาหนึ่ง

ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นการเปิดความหลอนของการเข้าสู่เนื้อเรื่องเลยจริงๆ พวกเราเลือกเมืองเชียงคานเป็นที่ถ่ายทำเทรลเลอร์ โดยเริ่มถ่ายจากตัวเมืองเลยก่อน จึงเข้าสู่เมืองเชียงคาน

ตลอดช่วงเวลาที่ถ่ายทำ รวมถึงการแสดงบนเวทีจริง #วิปลาส เรียกได้ว่าเป็นความบังเอิญที่ลงตัวผสมผสานกับความสยองอยู่ตลอดเวลา

เริ่มการถ่ายทำเทรลเลอร์ตามลำดับที่เราวางแผนไว้ โลเคชั่นแรกคือบ้านพักในเมืองเลยของผู้ประพันธ์บทเรานั่นเอง ทุกคนเตรียมพร้อมมาก เสื้อผ้าหน้าผม ฉาก อุปกรณ์ การซ้อมบทเตรียมเข้าหน้าเซ็ท และแล้วปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น…

เห้ย.. !ลืมขาตั้งกล้อง เอาไงดีๆ” เสียงของทีมงานมัลติมีเดียคนหนึ่งดังขึ้นมา (นั่นคือผมเอง) คือว่า การถ่ายวิดีโอเนี่ยจะรู้กันว่าขาตั้งกล้องคือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการถ่ายทำเลย ตอนนั้นรู้สึกกังวลอยู่มากพอสมควร นี่เพิ่งซีนแรกก็เจอปัญหาเลยหรอวะ แล้วตลอดทั้งวันเนี่ยจะเป็นยังไง

ความรู้สึกแบบเฟลหน่อยๆ สายตาก็มองไปรอบๆห้องเพื่อหาอะไรมาทดแทนขาตั้งกล้อง สิ่งที่เห็นคือ… ขาตั้งกล้องเก่าๆ ไม่มีฟังชั่นๆ อะไรเหมือนขาตั้งกล้องปัจจุบัน เป็นขาตั้งกล้องที่น่าจะมีมานานมากพอสมควร เพราะเก่าและฝุ่นเกาะมากๆ วางอยู่กับพื้นข้างๆ จักรเย็บผ้าเก่าที่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการถ่าย

ซึ่งจุดนี้เจ้าของบ้านเองยังไม่รู้เลยว่าบ้านตนมีขาตั้งกล้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็มองหน้ากันแบบเอ๋อๆ แล้วจึงเริ่มถ่ายทำกันแบบจริงจัง…
(ในภาพคือการเซ็ทฉากขึ้นมาใหม่ให้เป็นซีนของนวลจันทร์ตัวละครหลักในเรื่องที่มีอาชีพเย็บผ้ากำลังแก้ผ้าของลูกค้าอยู่)

ระหว่างที่ขับรถไปเรื่อยๆ และคุยกับผกก. และผู้เขียนบท แล้วก็ดูสตอรี่บอร์ดไประหว่างทาง ผมพูดขึ้นมาว่า “จอดตรงนี้ได้ไหม ตรงหน้าวัดเนี่ย สะพานนี้โอเคอยู่นะ” สะพานนี้เป็นสะพานอยู่ตรงข้ามวัด เราเดินลงไปดูโลเคชั่นกันแล้วก็พูดกันว่า เอออ ในเรื่องเนี่ยมันมีซีนนางเอกเดินตากฝนตกนะ…

จากนั้นฝนก็ตกลงมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฉากฝนตกที่นวลจันทร์เดินข้ามสะพาน เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ แค่คิดว่าอยากให้ฝนตกก็ตกลงมาทันที ถึงกับเตรียมร่มกันไม่ทันเลย ตอนนั้นวุ่นวายมากๆ

เราถ่ายต่อกันจนแสงเริ่มหมดที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ผมมองไปที่บ้านพักครูหลังหนึ่งช่วงเวลาพลบค่ำ ระเบียงบ้านพักครูมันย้อนแสงสวยมากๆ อยากให้นางเอกไปยืนรำบนนั้นจัง แต่บ้านมันเก่ามากๆ จนกังวลว่าจะถ่ายได้หรอ จะเข้าไปยังไง เรายืนกันอยู่หน้าบ้านหลังนี้สักพักมีเด็กชายประถมสองคนเดินออกมา…

เด็กชายประถม 2 คนเดินออกมาจากหลังบ้านพักครูหลังนี้ ทุกคนตกใจสะดุ้ง แล้วน้องก็พูดขึ้นมาว่า “จะเข้าไปข้างในหรอครับ ประตูมันล็อกนะ” พวกเราก็เลยถอดใจแล้วแหละ โอเคหาโลอื่นยังพอทัน “แต่..เนี่ยหน้าต่างไม่ได้ล็อกนะ..” น้องอีกคนพูดขึ้นมาพลางกับเดินไปเปิดหน้าต่าง

ช่วงเวลาผีตากผ้าอ้อม “ต้องปีนเข้าไปหรอครับ จะไหวไหมน้อ…” แล้วนางเอกของเราพูดขึ้นมาว่า “ปีนได้ พี่สบายๆ เดี๋ยวพี่เข้าไปคนเดียวได้ไม่เป็นอะไร ทุกคนกำกับกันอยู่ข้างนอกนี่แหละ” นาทีนั้นคือก็อึ้งๆในสปิริทอยู่นะ ซีนนี้ก็ได้เริ่มการถ่ายทำขึ้น… 5 4 3 2 1 Action !

นี่คือฉากที่ได้ ! ยอมรับว่าทีมงานทุกคนขนลุกกันมากๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และน้องประถม 2 คนนั้นก็หายไปแบบไม่รู้ว่าไปตอนไหน ยังไม่ได้ถามเลยว่าบ้านอยู่ไหน ซีนสำหรับวันนี้จบลงอย่างงงๆ เจอแต่เรื่องช็อคๆ ทุกคนนั่งรถกลับบ้านพักแบบเงียบๆ

ในคืนเดียวกันนั้นเอง เราได้ย้ายสถานที่ถ่ายทำ โดยขับรถเดินทางจากเมืองเลยมาที่เชียงคาน โดยพักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งของเพื่อนผู้เขียนบท เจ้าของบ้านบอกว่านานๆ จะเปิดบ้านหลังนี้ให้คนมาเช่าพัก พวกเรามาถึงบ้านก็จัดแจงที่นอนออกมาปูแล้วรีบพักผ่อนกันเพราะว่ารุ่งเช้าจะได้ถ่ายทำต่อ

านพักหลังนี้เป็นบ้าน 2 ชั้นค่อนข้างเก่า โดยพวกเราพักกันแค่ชั้นล่าง และไม่มีใครกล้าขึ้นชั้นบนเลย บางคนก็นอนพักผ่อน บางคนก็ไปเดินเล่นในถนนคนเดินเชียงคาน บางคนก็ไปดื่มสังสรรค์เบาๆ ให้ทายว่าใครโดนดี…

กลุ่มเพื่อนที่ไปดื่มกันกลับบ้านพัก มากลางดึกแล้วก็แยกย้ายพักผ่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทุ่งรุ่งเช้า.. “พวกแก… ไหนเจ้าของบ้านบอกว่าไม่มีคนอยู่วะ เมื่อคืนเค้ากลับมาจากดื่มเบียร์เห็นลุงเดินขึ้นไปชั้นสอง” ทีมงานทุกคน ณ ตอนนั้นหันหน้าควับมองไปที่ชั้นสอง…

“มึงเห็นเหมือนกูมั้ย…” “เออเห็น..” สิ่งที่พวกเราเห็นคือช่องสำหรับมองโจรจากชั้นสอง เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น พี่วิสกี้ผู้ประพันธ์บทได้กล่าวเสริมถึงเรื่องช่องมองโจรหลายอย่าง แต่มองยังไงมันก็น่ากลัว ช่องนี้ได้นำมาเป็นฉากหนึ่งสำหรับการถ่ายทำเทรลเลอร์ด้วย

“มึง..เป็นอะไรกัน เห้ย อย่าทำหน้ายังงั้นกูไม่โอเค” คนเดิมกล่าว ผมกับทีมงานบางส่วนนั่งคุยกันสักพัก จึงตกลงกันว่า เราควรขึ้นไปชั้นสอง ถ้ามีคนอยู่จริง ถ้าเป็นคนดีก็จะรบกวนเขา แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี เราจะอันตรายนะ พวกเราจึงตัดสินใจไปชั้นสอง ปรากฎว่าไม่มีคนอยู่ เห้อใจชื้น แต่…

ที่ชั้นสองมี 3 ห้องนอน ไม่มีคนอยู่เลย และพื้นที่หน้าห้องนั้น และตรงมุมผนังห้องนั้นก็ไม่มีคนอยู่เช่นกันแต่…

แต่…มีโกศคุณทวดตายายสองท่านนี้อยู่ ทีมงานตกใจหนักมาก ช็อคไปตามๆกัน พวกเราจึงจัดเตรียมของมาไหว้ขอขมากันทันที…แล้วก็ขออนุญาตในการถ่ายทำที่บ้านหลังนี้ด้วย

แล้วเราก็ได้ซีนตอนนางเอกกำลังรำดอกบัวถวาย ทุกอย่างพร้อมไปหมด ผู้กำกับต้องการอะไร มองซ้ายไม่เจอ ขวาก็เจอ หาตรงนี้ไม่เจอ ขยับไปอีกนิดก็เจอ ราวกับว่าสิ่งของทุกอย่างในบ้านหลังนี้ถูกจัดมาไว้เพื่อให้เราถ่ายทำ

หลังจากถ่ายทำซีนในบ้านไปหลายซีนและบังเอิญเจอสิ่งของนั่นนี่หลายอย่างแบบที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะเจอ พีคสุดก็น่าจะเป็นเตารีดโบราณ ที่ใช้ถ่านจากฟืนอะ ตอนเจอเตารีดนี้ก็คุยกันกับผู้กำกับว่า ห้องนี้เราใช้ได้นะ ให้ตัวละครนึงถูกจับขังอะไรประมาณนี้อะ ทุกคนก็เห็นด้วยว่าห้องนี้โอเค

เตารีดที่ว่านั้นได้ถูกนำมาประกอบฉากให้ดูมีเรื่องราวมากขึ้น พร้อมนะครับ 5 4 3 2 1 Action ! “เดี๋ยวก่อนๆ พี่ว่ามันแปลกไหมอะ คือโดนขังแต่ว่าเขาอยู่แบบเฉยๆเลยหรอ ทีมงาน…ลองหาโซ่ในบ้านนี้ได้ไหมอะ” สิ้นเสียงตากล้องได้ไม่ทันไร ผู้ประพันธ์บทก็กล่าวขึ้นทันที

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญเกินกว่า 3 ครั้งก็จะดูว่ามันแปลกเกินไปใช่ไหมครับ เกิดการท้าทายกันขึ้นครับ หลังจากที่หาอะไรก็เจออยู่หลายครั้ง แล้วความบังเอิญครั้งที่ 4 ก็เกิด “นี่ๆ นี่ไงโซ่” ผมถึงกับชะงักไปเลยตอนนั้น เสียงของทีมงานสักคนพูดขึ้นมาพร้อมกับเปิดฝาเตารีดโบราณอันนั้น

“เอ… ผมว่ามันแปลกอยู่นะครับคนอะไรจะเก็บโซ่ไว้ในเตารีด” ผมพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิดประมาณว่า เออ หลายครั้งเกินไปแล้วอะ ใครแกล้งหรือเปล่าไม่ตลกด้วยนะ “ไม่หรอก เป็นปกติของคนโบราณ เพราะโซ่จะทำให้เตารีดคงความร้อนได้นาน” พี่วิสกี้กล่าวเสริม

ฉากในบ้านผ่านไป เราจึงย้ายโลเคชั่นไปถ่ายแถวถนนคนเดินเชียงคาน จากนั้นทีมงานก็มาทานข้าวอยู่ร้านข้าวร้านหนึ่งเป็นร้านสุดท้ายติดๆกับวัดจำชื่อร้านไม่ได้แล้วครับ ทานข้าวไปด้วยก็คุยเรื่องซีนถ่ายไปด้วย ตอนที่บรีฟกันเราคุยกับผู้เขียนบทว่ามีซีนที่อยากได้เป็นพิเศษไหม แน่นอนว่ามี…

ซีนที่ว่านั้นคือซีนที่นางเอกยืนบนเรือแจวในกระแสน้ำเชี่ยวกลางสายฝน ฟังบรีฟจบก็ได้แต่นั่งมองตากัน พี่ครับ นี่มันยากอยู่นะ พลางพูดไปขำไป พอคิดเงินออกจากร้านมาเดินเล่นริมโขง ก็นั่นแหละอย่างที่คิดครับไม่ผิดหรอก ฝนตก…

“แก… แล้วเราจะไปหาเรือจากไหน ดูๆก็มีแต่เรือข้ามโขง ชั้นอยากได้เรือแจว” แคร่กแคร่ก เสียงพงหญ้าขยับๆ เรากับผู้เขียนบทมองหน้ากันเลยรีบวิ่งไปที่ท่าน้ำใกล้ๆ

“เอ้าลุง…ทำอะไรตากฝน”
“ลุงมาหาปลา”
“อ๋อ ลุงครับพวกผมกำลังถ่ายวิดีโอกันแล้วอยากได้ฉากที่คนยืนบนเรือตรงกระแสน้ำเชี่ยวๆแบบนี้ ผมจ้างลุงได้ไหม พายไปกลางแม่น้ำโขง เอานางเอกผมไปด้วย”
“ได้ๆ จ้างกี่บาทล่ะ”
“300 นะครับผมมีเงินไม่มาก”
“ไปเอานางเอกมาๆ ก่อนฝนมันจะหนักกว่านี้”

ซีนที่เชียงคานเรียกได้ว่าขนหัวลุกไปหลายตอนมากๆ จากนั้นเราจึงกลับมาถ่ายทำกันต่อที่ขอนแก่น โลเคชั่นต่อไปคือโรงเรียนนครขอนแก่น ที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีศูนย์วัฒนธรรมที่สร้างบ้านทรงไทยเก่าๆไว้หลายหลัง เราจึงเลือกที่นี่ในการถ่ายทำซีนต่อไป

เราเจอเรือนเล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่หลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เรือนนี้เราอยากเอามาทำฉากไหว้บูชาพระอินทร์มากๆ จึงได้ขออนุญาตกับทางโรงเรียนว่าขอเคลื่อนย้าย ดัดแปลง ตกแต่งนิดหน่อยได้ไหม และก็ได้รับการอนุมัติครับ

เราได้ทำการคลุมดำเรือนนี้ทั้งหลังแล้วจัดการจัดแสงจัดไฟ และทำพร้อมหลายๆอย่าง แต่พรอพหลายอย่างดูไม่ค่อยพร้อมในการทำโต๊ะหมู่บูชาสักเท่าไหร่ทีมงานจึงเดินขึ้นไปเรือนด้านหลัง เพื่อไปหาของเพิ่ม เปิดประตูเข้าไป…

สิ่งแรกที่เห็นคือรูปปั้นผู้หญิงขาวโพลนยืนอยู่หน้าประตูเลย เสียงทีมงานคนนั้นกรี้ดออกมา ทุกคนต่างเป็นห่วงจึงกรูกันเข้าไปดู สภาพห้องเรือนที่ว่าคือใยแมงมุมเต็มไปหมด และมีของแปลกๆวางกระจัดกระจาย

เราเลือกหยิบสิ่งนี้มาเอาจริงๆเกิดมาอายุ 20 กว่าก็เพิ่งเคยเห็นรูปปั้นไม้แบบนี้ ทางอีสานหมายความว่าอะไรเราก็ไม่รุ้เหมือนกัน อาจจะไม่ได้มีอะไรพิเศษก็ได้ เราเลยกล่าวออกเสียงมาว่าพวกเราทีมงานขอนำสิ่งของไปใช้นะครับ สิ่งที่พวกเราทำคือไม่ได้บอกทีมเขียนบทและผกก.เลย ทำโดยวิสาสะล้วนๆ

และแล้วโลเคชั่นโต๊ะหมู่บูชาที่อยากได้ก็เสร็จ ช่วงนั้นเวลาประมาณ 16.30 พวกเราต้องรีบถ่ายทำกันมากเพราะแสงจะหมดแล้ว อีกใจก็อยากให้มืดกว่านี้เพราะว่าจะได้สมจริงมากขึ้น ผ้าดำที่เอาคลุมเรือนมันเก็บแสงไม่มิดจริงๆ

และแล้วก็มืดสมใจอยาก ประมาณ 18.00 การถ่ายทำฉากนี้เป็นไปด้วยความหลอนเพราะว่าทุกคนต้องใช้สมาธิสูง และต้องการความเงียบ ทีมงานอีกกลุ่มก็ระดมกันจุดธูปเป็นกำๆ แล้วพัดเข้ามาทางด้านโต๊ะหมู่บูชา

หลังจากถ่ายทำเสร็จทุกคนก็ต้องรีบเคลียของกันอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้มืดไปกว่านี้และใจทุกคนคืออยากกลับแล้วไม่อยากอยู่ตรงนี้ จนกระทั่งถึงตอนเอาของไปคืนบนเรือนใหญ่หลังนั้น…

“เรียบร้อยมั้ยครับ” ทีมงานรุ่นพี่ถามน้องคนนึง
“เรียบร้อยค่ะคืนของแล้ววางที่เดิมเป๊ะๆแต่พี่…”
“ว่าไงๆ “
“เดี๋ยวค่อยเล่านะคะ พี่…เรารีบกลับกันได้ยัง”
“อืมเนี่ยจะเสร็จละ ปะปะ”
“พี่…คือจำรูปปั้นหน้าประตูได้ไหม”
“เออ ทำไม… เชี่ย อย่าว่า..มึง..ไม่…”

[ads-quote-center cite=”]”พี่…รูปปั้นนั้นหันหน้าไปอีกทาง หนูรีบวิ่งลงมาเลยเกือบตกบันได พี่อย่าเล่าให้ใครฟังนะ หนูกลัววว”[/ads-quote-center]

มาย้อนเรื่องกันนิดนึงนะครับ จำบ้านพักครูที่นวลจันทร์ไปยืนรำบนนั้นได้ไหม หลังจากที่พวกเรากลับมาขอนแก่นได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็มาทราบข่าวทีหลังครับว่า บ้านพักครูหลังนั้นเป็นบ้านร้าง มีครูเสียชีวิตที่นั่นชื่อครูปราณี ซึ่งในละครเรื่องวิปลาสนั้นก็มีตัวละครชื่อครูปราณีเช่นกัน

ย้อนไปเรื่องครูปราณี ตอนนั้นนักแสดงเดิมที่เล่นเป็นครูปราณีคือ บิวตี้ ในภายหลังได้ถอนตัวไปเพราะไม่สามารถเล่นต่อได้ด้วยเหตุผลบางประการ ทุกคนยังจำโกศคุณตาทวดยายทวดบนบ้านพักที่เชียงคานได้ไหมครับ…

ในภายหลังพวกเรามารู้เรื่องเพิ่มว่า บิวตี้กับตาทวดคนนั้น นามสกุลเดียวกัน คือสาวิสัย บิวตี้รีบโทรหาครอบครัวว่าคุณตาทวดชื่อนี้เป็นใคร จนมาพบความจริงว่าตาทวดท่านนี้เป็นต้นตระกูลของเธอเอง และหนึ่งในสมาชิกทีมเขียนบทก็เป็นญาติกันกับบิวตี้

บิวตี้เล่นละครเวทีที่สมาชิกคนนั้นเขียนบทให้มาถึง 3 เรื่อง โดยที่ทั้งสองไม่รู้มาก่อนเลยว่าตนเป็นญาติกัน

ตอนนี้ละครเราก็พร้อมกันไปมากแล้วครับสำหรับการขึ้นแสดงบนเวที แต่ก่อนจะแสดงจริงนั้นเราก็ทำการบวงสรวงกันครั้งใหญ่เลยครับ ไม่ขอเล่าถึงรายละเอียดการบวงสรวงนะครับ แต่ว่าตอนนั้นถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็จะบวงสรวงไม่ได้เลย…นั่นคือหัวยักษ์

หนึ่งวันก่อนบวงสรวงพวกเราวุ่นกันมากเพื่อที่จะทำหัวยักษ์ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าเพราะอะไรทำไมเราไม่ซื้อหัวยักษ์มาเลย กลับทำขึ้นมาเองซะงั้น แล้วเราจะเอาหัวยักษ์มาจากไหน ยากเลยครับตรงนี้ ขับรถตามหัวทั่วมหาลัย ติดต่อใครได้ก็ติดต่อ แต่เหมือนจะมาจบที่คณะศิลปกรรมฯ

“พี่ครับสวัสดีครับ จากกองละครคณะมนุษย์ฯนะครับ”
“สวัสดีครับว่าไง”
“พวกผมอยากได้อะไรที่มีลักษณะคล้ายหัวคนครับ พอจะมีไหมครับ”

ตอนนั้นพวกเราไปติดต่อรุ่นพี่สินกำที่โกดังแถวคณะเขา พี่ๆ กำลังทำงานปั้นกันอยู่ครับ

“เอ…พี่ไม่มั่นใจนะว่ามีไหม คือพรีเซ้นท์เสร็จพี่ก็เอาทิ้งเลย”

“ว่าแต่น้องจะเอาไปทำอะไรกันหรอ”
“เอาไปทำหัวยักษ์อะครับ”
“โว้วว จริงดิ”
“ใช่ครับ”
“ไปหาเอาเองได้ไหมตรงป่านนั้นน่ะ พวกพี่มักจะเอาของไปทิ้งในป่านนั้น”
“ป่าทางไหนนะครับ”
“นั่น…” (ชี้นิ้วไปทางสะพานขาว)

เด็ก มข. จะรู้ตำนานของสะพานขาวครับ พวกเรามุ่งหน้าเดินไปทางป่าที่อยู่ติดกับสะพานขาว แหวกพงหญ้าไปก้าวแรกก็เจอ…
“นี่ไง หัว..” เสียงทีมงานคนหนึ่งพูดขึ้นมา สภาพหัวที่ว่าคือเป็นรูปปั้นเปลือยที่มีตัวครบ จากนั้นเธอก็ดึงหัวขึ้นมาเลย มีแมลงไต่ออกมาจากหัวให้สยองเล็กๆ

https://www.youtube.com/watch?v=0aCdRtTFT2Y

ทีมงานได้เร่งทำหัวยักษ์ที่ต้องการนี้กันข้ามคืนเลยครับ หัวยักษ์อันนี้ใช้เป็นอุปกรณ์หลักในการแสดงนะครับ เลยนำมาบวงสรวงด้วย

นี่ก็เป็นอีกเรื่องบังเอิญที่ชวนหลอน ทุกๆ เหตุการณ์นึกทีไรแล้วพอเอามรวมๆ กัน มันก็หลอนอะ

หลังจากบวงสรวงไปครั้งใหญ่ ก็ถึงวันซ้อมใหญ่ การซ้อมใหญ่ครั้งนี้มีนักศึกษาจากทางภาคใต้มาดูครับ เหมือนมาศึกษาดูงานที่คณะเรา ก็ประจวบเหมาะเลย มาเป็นคนดูให้ หลังจบการแสดงซ้อมใหญ่ไปเราก็ได้ทราบถึงปัญหาต่างๆอีกมากมาย จุดบกพร่อมของการทำงาน เราต้องตัดบทอันไหนออกบ้าง

ทุกอย่างกำลังไปได้สวยดูพร้อมมากๆ ถ้าให้เล่นวันนี้พรุ่งนี้ได้คือพร้อมเลยครับ จนกระทั่ง ก่อนวันแสดงจริงไม่กี่วันนักแสดงประกอบฉากงานวัดของเราก็ประสบอุบัติเหตุครับ…

น้องเฌอแตม ผู้หญิงชุดชมพูตรงกลางขับมอไซต์ไปกับเพื่อนแล้วประสบอุบัติเหตุครับ ตอนนั้นเพื่อนอีกคนไม่เป็นอะไรเลย แต่น้องเฌอแตมได้รับแผลที่ขามา น้องกังวลมากกลัวว่าจะเล่นไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้ขอถอนตัว น้องมาซ้อมทั้งๆที่ผ้าพันแผลยังติดอยู่ แต่น้องก็ยืนยันว่าจะแสดงต่อ

และน้องเฌอแตมชื่อจริงเหมือนกันกับน้องที่ถูกฆ่าครับ….

พี่วิสกี้และใบเตยผู้ประพันธ์บทต่างก็พูดว่า ละครเวทีเรื่องนี้จริงๆแล้วเนี่ยทำขึ้นเพื่อให้สาระแง่คิด นำเสนอปัญหาทางสังคมที่เกิดจากความศรัทธางมงาย วิถีชีวิตที่พัวพันกับค่านิยม และความเชื่อที่ขาดเหตุผล ทุกฉากได้สะท้อนความเป็นจริงในสังคม เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นสังคมในมุมที่กว้างขึ้นทั้งด้านสิทธิมนุษย์ สิทธิสตรี และความมั่นคงแห่งมนุษย์ พอได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็รู้สึกดีขึ้นมากครับ

พฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ 2558
ก่อนละครเวทีเล่น 5 ชั่วโมง
“เห้ยๆ ทำความสะอาดห้องละครหรือยัง”
“เออๆ เดี๋ยวเข้าไปทำ ตอนบ่ายไม่มีเรียนพอดี”
“แก… หน้างานเตรียมเรียบร้อยมั้ย”
“ได้ค่ะพี่ ตอนนี้หนูรอเลิกเรียนจะไปจัดโต๊ะค่ะ”

พฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ 2558
เวลา 17.30 น.
“พี่คะ หน้างานเริ่มพร้อมแล้ว เนรมิตตึกได้รึยังคะ”
ทีมงานคนหนึ่งถามผมด้วยความตื่นเต้นเพราะนี่คือการทำงานครั้งแรกของเธอ
“สองทุ่มค่อยเปิดก็ได้ เพราะแสงยังไม่หมดเลย”
“ได้ค่ะ”

และนี่คือสถานที่หน้างานครับ เราได้เนรมิตตึกให้เก่าเข้ากับบรรยากาศละคร คนดูจะมาเช็คที่นั่งตัวเอง อ่านประวัติตัวละคร และถ่ายรูปคู่กับโปสเตอร์นักแสดงที่ตัวเองชอบบริเวณนี้ ทีมหน้างานและฝ่ายฉากได้เนรมิตหน้างานให้เป็นนิทรรศกาลเล็กๆยาวไปจนถึงประตูทางเข้าโรงละคร

ไฮไลท์ที่ผู้ชมพูดถึงไม่แพ้การชมละครเลยก็คือทางเข้างาน ฝ่ายฉากได้เนรมิตทางเดินระหว่างตึกที่แสนจะธรรมดาและน่าเบื่อในตอนกลางวันให้เป็นบ้านผีสิงที่น่ากลัวในช่วงกลางคืน โดยบ้านผีสิงนี้จะเปิดเฉพาะรอบสองของวันเท่านั้นเพื่อรอให้บรรยากาศมืดสนิทก่อน

ระหว่างทางเข้าห้องละครจะมีทั้งนางรำ มีทั้งผู้หญิงหวีผม มีการแต่งตัวนุ่งโจงกระเบนแดง มีการสะท้อนเงาของนางรำลงบนผ้าสีแดงคลอกับเพลงดนตรีไทยช้าๆ ผมยืนอยู่ประตูเข้าโรงละคร ได้ยินเสียงผู้ชมกรี้ดกร้าดกัน นี่แค่หน้างานก็เรียกความหลอนตั้งแต่ยังไม่ได้ดูละครเวทีกันเลยทีเดียว

“สเตจ 1 พร้อม”
“สเตจ 2 พร้อม”
“วิปลาสจะเริ่มใน 5 4 3 2 1 “

“ละครเรื่องนี้อุทิศแด่… เด็กหญิง”

ระหว่างที่ละครกำลังเล่นไป ทีมงานด้านนอกก็พักกันและสนุกสนานกับการพูดถึงรีแอคชั่นของผู้ชมตอนเข้างาน นี่แค่วันแรกยังผลตอบรับดีขนาดนี้ แน่นอนว่าวันต่อไปทีมหน้างานจัดเต็มมากขึ้นแน่นอน และเป็นไปอย่างที่คาด…

วันที่สองของการแสดง ผู้ชมหลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ จากการสอบถาม ผู้ชมบางส่วนมาซื้อบัตรเพิ่ม และบ้างก็มาซื้อเพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง ที่นั่งเต็มทุกรอบจนต้องเพิ่มเก้าอี้เสริมหลายสิบตัว จนกระทั่งวันที่ 3 ของการแสดง…

เวลาตี 1 ช่วงประชุมสรุปแต่ละวัน
“ขออนุญาตนะคะ คือว่าฝ่ายหนูคนน้อยมากเลย มีฝ่ายไหนพอจะช่วยแบ่งคนมาได้ไหมคะ”
“เอาคนฝ่ายหนูไปก็ได้นะคะ” จากนั้นก็มีเสียงของสมาชิกในทีมกล่าวเสริมขึ้น
“เออ…แกบ้านผีสิงอะรำเงาตั้ง 2 คน แบ่งไปมั้ย…”

ทุกคนยังประชุมกันตามปกติ จนกระทั่งสมาชิกอีกคนพูดขึ้น “ขอโทษนะคะ รำเงาแค่คนเดียวค่ะ” ….. การประชุมจึงเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะมีคนอาสาไปช่วยจริงๆจังๆ เรื่องนี้จึงเคลียไป

และแล้ววันสุดท้ายของการแสดงก็มาถึง…

วันที่ 4 ของการแสดง ทีมงานยังคงขมักเขม้นอยู่กับหน้าที่ของตัวเองครับ ฝ่ายไหนเรียบร้อยเร็วก็จะไปช่วยฝ่ายอื่นทำงาน ทีมงานของเรามีประมาณ 150 คน ถ้านับจากที่ลงชื่อจริงๆ ก็น่าจะ 200 ได้ครับ

ช่วงก่อนละครเล่น ทีมฝ่ายบริหารได้นำคอมเม้นท์ของผู้ชมรอบก่อนๆมาอ่านทบทวนครับ ว่าควรปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง หรืออะไรที่เป็นจุดสนใจของผู้ชมส่วนไหญ่ จนมาสะดุดตากับคอมเมนท์ของผู้ชมท่านหนึ่ง

มีเนื้อความว่า… ‘ มีนักแสดงคนนึงเล่นดีมากตอนฉากฆ่าลูก แต่ทำไมตอนแนะนำตัวละคร เขาไม่ออกมาคะเป็นอะไรหรือเปล่า เราอยากถ่ายรูปคู่มาก ‘

เจออย่างนี้แล้วเราจึงย้อนกลับไปดูเทปการบันทึกและภาพถ่ายรวมของแต่ละรอบครับ

เทปบันทึกและภาพถ่ายของทุกรอบการแสดงที่เก็บไว้ถูกนำมาเปิดอีกครั้ง ฉากฆ่าลูกที่ว่านี้จะมีผู้หญิงทั้งหมด 5 คนร่วมแสดง และทุกคนขึ้นเวทีแนะนำตัวตอนจบทุกคนครับ …หวังว่าผู้ชมท่านนั้นไม่ได้กล่าวถึงบุคคลที่ 6 นะ

ในฉากนี้ลูกจันทร์จะวิ่งหนีจากการถูกจับฆ่า หันไปหาใครก็ไม่มีใครช่วยได้ น้าที่ตนคิดว่ารักที่สุดก็มีอาการจิตไม่ปกติ ในตอนนั้นทุกคนดูน่ากลัวไปหมดในสายตาลูกจันทร์ ในฉากนี้ลูกจันทร์จะถูกจับและห่อด้วยผ้าดิบ เสียงบทสวดที่ฟังไม่เป็นภาษาดังทั่วไปหมด

…หลังจากไฟหรี่ลง..

เสียงร้องไห้ฟูมฟายดังออกมาจากทางเดินนักแสดง นักแสดงที่เล่นเป็นลูกจันทร์ วิ่งออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา กว่าจะสงบลงก็เล่นเอาทีมงานทุกคนใจหาย น้องเล่าว่า ระหว่างที่แสดงฉากนี้อยู่ มีเสียงยายแก่กระซิบข้างหูตลอดเวลา “ลูกจันทร์… จันทนา…”

ทีมงานหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทำตัวไม่ถูก เล่นเอาเหวอไปเลย หลังจากจบการแสดงรอบสุดท้าย ทุกคนดูมีความสุขมากกับผลการตอบรับที่ไม่คาดคิด จนถึงช่วงเวลาของการประชุมสรุปงาน …

หลังจบประชุม “หนูขอพูดอะไรดีดีนิดนึงนะคะ ได้ยินมาว่าทีมงานฝ่ายฉากกับฝ่ายหน้างานเนรมิตตึก ทำนิทรรศกาลเล็กๆ ทางเข้างานธีมบ้านผีสิง คือตรงนี้เห็นคนชื่นชมกันมากๆ แต่พวกเรานักแสดงก็อยากเข้าบ้านผีสิงเหมือนกันไม่รู้ว่าจะมีรอบ 9 รอบพิเศษให้พวกเราไหมคะ” นักแสดงคนหนึ่งกล่าวขึ้น

หลังจากพูดจบ นักแสดงทุกคนเสียงฮือขึ้นมาทันที ทุกคนอยากอยู่ในจุดนั้นบ้างเช่นกัน ทีมงานฝ่ายฉากคนหนึ่งมากระซิบกับผมว่า “พี่คะ คือเอาตรงๆเลยนะ ตอนหนูไปไหว้สถานที่หนูบอกเขาว่ามีแค่ 8 รอบ ถ้ามีรอบ 9 พิเศษจะเป็นอะไรไหมคะ”

ในตอนนั้นผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะกำลังจดจ่อกับการเขียนสรุปงานจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ เงยหน้าขึ้นอีกที ฝ่ายฉากและฝ่ายหน้างานสถานที่ก็กำลังลุกจากที่นั่งเตรียมตัวไปจัดบ้านผีสิงรอบ 9

ในตอนนั้นทีมงานบางส่วนและนักแสดงทุกคนตื่นเต้นกันมากที่จะได้เข้าบ้านผีสิง

ระหว่างที่รอสัญญาณ ผมกับผู้อำนวยการสร้างอีกคนก็พูดเรื่อยเปื่อย หยิบคอมเม้นท์มาอ่านบ้าง แซวทีมงานกันเองบ้าง เพื่อรอเวลาให้ทีมงานข้างนอกมาให้สัญญาณว่าพร้อมแล้ว

เวลาประมาณตี 1
เสียงประตูเปิดเข้ามา
“พี่ๆคะ อีกแปปนึงนะคะใกล้พร้อมแล้ว”
ในตอนนั้นทุกคนตื่นเต้นมาก พร้อมจะเข้าบ้านผีสิง
มีการดับไฟบางส่วนในห้องละคร เพื่อสร้างบรรยากาศ
“ไฟหรี่ลง…” ประโยคนี้ถูกพูดขึ้นมาอีกครั้งโดยทีมงานด้วยกันเอง แทนที่จะเป็นคนคุมไฟ

เสียงหัวเราะขำขนปนความเหนื่อยจากการทำงานดังอื้อไปหมด
จนกระทั่งเสียงเปิดประตูครั้งที่ 2
“พี่คะ…” สายตาทุกคนหันไปที่ประตูเหมือนกับว่าพร้อมแล้วใช่ไหม ไปได้แล้วหรือยัง ตื่นเต้น

แต่คำว่าว่า”พี่คะ…” ในตอนนั้นทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนสีในทันที

น้องที่เข้ามาให้สัญญาณหน้าซีดเหลือง จากนั้นจึงพูดเบาๆกับผมว่า
“พี่คะ… คือว่าขอยกเลิกรอบ 9 ได้ไหม ทีมงานไม่ไหว จริงๆนะพี่ ” น้องพูดไปน้ำตาคลอไปด้วย
“เป็นอะไรๆๆ” ตอนนั้นผมกับผู้อำนวยการสร้างอีกคนมีอาการตื่นตระหนกไปตามๆกัน
“พี่ออกมาดูนี่..” น้องคนเดิมกล่าว

ภาพที่เห็นคือทีมงานฝ่ายฉากและหน้างานเกือบ 20 คน ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ในที่โล่งมีเพียงแสงแฟลชจากมือถือส่องไปมาด้วยความระแวง บางคนก็ร้องไห้กอดเพื่อนหน้าซีด ผมถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ ทุกคนอยู่ในอาหารช็อค ตื่นตระหนก สีหน้าน้องๆ ในตอนนั้นน่าสงสารมาก ผมรีบวิ่งเข้ามาในห้องละคร

“เปิดไฟครับ รีบเปิดไฟ ทีมงานไม่ไหวแล้วขอยกเลิกบ้านผีสิงรอบพิเศษนะครับ” ผมพูดออกไมค์ที่อยู่หน้าเวที เสียงฮือของทุกคนดังขึ้นพร้อมกับ เสียงกระซิบดังทั่วห้องละคร ผมและทีมงานบางส่วนรีบวิ่งออกไปข้างนอกอีกรอบเพื่อไปพาน้องฝ่ายฉากเข้ามาพักด้านใน

เสียงกระซิก สีหน้านิ่ง ซีดเหมือนคนเจอผี ทำให้ทุกคนรู้คำตอบโดยที่ไม่กล้าถามต่อว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านผีสิงที่มีนางรำ ผู้หญิงหวีผม การปลอมเป็นศพในผ้าดิบ คนยืนกระซิบข้างต้นไม้ และอะไรอีกหลายอย่างถูกยกเลิกทันทีในคืนนั้น…

…จากนั้นทีมงานทุกคนจึงช่วยกันเคลียเวทีกันอย่างสงบ…

‘ไฟหรี่ลง…’
ประโยคที่ทุกคนได้ยินบ่อยๆช่วงแสดง เหมือนกับว่าถูกใช้หมดไปแล้วในรอบที่ 8
แต่ในรอบที่ 9 นี้นั้นกลับกลายเป็นคำว่า ‘เปิดไฟ รีบเปิดไฟ ทีมงานไม่ไหวแล้ว’ แทน

Tanjen S.

ศึกษาการทำ Blog มาหลายปีและเริ่มศึกษาเรื่อง SEO มาได้ 10 ปี จนรู้ว่า Google ต้องการอะไร สามารถทำให้หน้าที่เขียนบทความไปสามารถติดหน้าแรกของ Google

Related Articles